เมนู

ของพระราชา เดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์ ในละแวกบ้านก็จริง ถึงอย่าง
นั้น ก็ยังเรียกว่า มีปกติอยู่ผู้เดียว ดูก่อนมิคชาละ เราเรียกผู้มีปกติอยู่
ด้วยอาการอย่างนี้ว่า มีปกติอยู่ผู้เดียว ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะตัณหา
ซึ่งเป็นเพื่อน เธอละได้แล้ว เพราะเหตุนั้นจึงเรียกว่ามีปกติอยู่ผู้เดียว.
จบ ปฐมมิคชาลสูตรที่ 1

มิคชาลวรรคที่ 2



อรรถกถาปฐมมิคชาลสูตรที่ 1


มิคชาลวรรคที่ 2 ปฐมมิคชาลสูตรที่ 1 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
บทว่า จกฺขุวิญฺเญยฺยา ได้แก่ พึงกำหนดรู้ด้วยจักขุวิญญาณ.
แม้ในสภาวะที่จะพึงรู้แจ้งด้วยโสตวิญญาณ ก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า
อิฏฺฐา ความว่า จะเป็นอารมณ์ที่น่าปรารถนาหรือไม่น่าปรารถนาก็ตาม.
บทว่า กนฺตา แปลว่า น่าใคร่. บทว่า มนาปา แปลว่า น่าเจริญใจ.
บทว่า ปิยรูปา แปลว่า เป็นที่รัก. บทว่า กามูปสญฺหิตา ความว่า
ประกอบด้วยความใคร่ ซึ่งเกิดขึ้นทำเป็นอารมณ์. บทว่า รชนิยา แปลว่า
เป็นที่ตั้งความกำหนัด อธิบายว่า เป็นเหตุให้เกิดความกำหนัด. บทว่า
นนฺทิ ได้แก่ ความเพลิดเพลินด้วยอำนาจตัณหา. บทว่า สญฺโญโค
ได้แก่ สัญโญชน์. บทว่า นนฺทิสญฺโญชนสมฺปยุตฺโต ได้แก่ พัวพัน
ด้วยความเพลินและความผูกพัน. บทว่า อรญฺญวนปฏฺฐานิ ได้แก่ ป่า
และติณชาตที่เกิดในป่า.

ในบทเหล่านั้น แม้ในอภิธรรมท่านกล่าวตรง ๆ ว่าป่าที่ออกไป
นอกเสาเขื่อนทั้งหมดนั้นเป็นอรัญญะ ก็จริง ถึงอย่างนั้น เสนาสนะที่ให้
สำเร็จเป็นอารัญญิกธุดงค์องค์คุณของผู้อยู่ป่า ที่ท่านกล่าวว่า โดยที่สุดชั่ว
500 ธนู นั้นแหละ พึงทราบว่า ท่านประสงค์เอาแล้ว. บทว่า วนปฏฺฐํ
ได้แก่ ที่เลยชายบ้านไป พวกมนุษย์ไม่ใช้สอย ซึ่งไม่เป็นที่ไถหว่าน.
สมจริงด้วยคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า คำว่า วนปฏฺฐํ นี้เป็นชื่อของเสนาสนะ
ไกล. คำว่า วนปฏฺฐํ นี้เป็นชื่อไพรสณฑ์. คำว่า วนปฏฺฐํ นี้เป็นเหตุ
ที่น่ากลัว. คำว่า วนปฏฺฐํ นี้เป็นชื่อของความกลัวขนลุกชัน. คำว่า
วนปฏฺฐํ นี้เป็นชื่อของชายแดน. คำว่า วนปฏฺฐํ นี้เป็นชื่อของเสนาสนะ
ที่อยู่ห่างไกลมนุษย์. ในที่นี้ หมู่ไม้ที่อยู่ในป่า เว้นปริยายหนึ่งนี้ที่ว่า
ชายแดน ก็พึงทราบโดยปริยายที่เหลือแล.
บทว่า ปนฺตานิ แปลว่า ที่สุดแดน คือไกลมาก. บทว่า อปฺปสทฺ-
ทานิ
ได้แก่ ชื่อว่ามีเสียงน้อย เพราะไม่มีเสียงครกเสียงสากและเสียงเด็ก
เป็นต้น. บทว่า อปฺปนิคฺโฆสานิ ได้แก่ ชื่อว่ามีเสียงกึกก้องน้อย เพราะ
ไม่มีบันลือลั่นและกึกก้องอย่างมากของเสียงนั้น ๆ. บทว่า วิชนวาตานิ
ได้แก่ เว้นจากลมในร่างกายของคนผู้สัญจร. บทว่า มนุสฺสราหเสยฺยกานิ
ได้แก่ สมควรแก่การงานลับของพวกมนุษย์. บทว่า ปฏิสลฺลานสารุปฺปานิ
ได้แก่ สมควรแก่การหลีกเร้น.
จบ อรรถกถาปฐมมิคชาลสูตรที่ 1

2. ทุติยมิคชาลสูตร


ว่าด้วยผู้มีปกติอยู่ผู้เดียว


[68] ครั้งนั้นแล ท่านพระมิคชาละเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้
กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์เจริญ ข้าพระองค์ขอโอกาส
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์โดยย่อ ที่ข้า-
พระองค์ได้ฟังแล้ว พึงเป็นผู้หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มี
ความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่เถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน
มิคชาละ รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
น่ารัก อาศัยความใคร่ ที่ตั้งความกำหนัด มีอยู่ ถ้าภิกษุยินดี กล่าว
สรรเสริญ หมกมุ่นรูปนั้นอยู่ ย่อมเกิดความเพลิดเพลิน เรากล่าวว่า
เพราะความเพลิดเพลินจึงเกิดทุกข์ ฯลฯ ธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจ
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก . อาศัยความใคร่ ที่ตั้งความ
กำหนัดมีอยู่ ถ้าภิกษุยินดี กล่าวสรรเสริญ หมกมุ่นธรรมารมณ์นั้นอยู่
เมื่อเธอยินดี กล่าวสรรเสริญ หมกมุ่นธรรมารมณ์นั้นอยู่ ย่อมเกิดความ
เพลิดเพลิน เรากล่าวว่า เพราะเกิดความเพลิดเพลิน จึงเกิดทุกข์.
[ 69 ] ดูก่อนมิคชาละ รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุอันน่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก อาศัยความใคร่ ที่ตั้งความกำหนัด มีอยู่ ถ้าภิกษุ
ไม่ยินดี ไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่หมกมุ่นรูปนั้นอยู่ เมื่อไม่ยินดี ไม่กล่าว
สรรเสริญ ไม่หมกมุ่นรูปนั้น ความเพลิดเพลินก็ดับ เรากล่าวว่า เพราะ
ความเพลิดเพลินดับทุกข์จึงดับ ฯลฯ ธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจอัน